Edit Content
Click on the Edit Content button to edit/add the content.

ดูหนัง The Old Guard 2 (2025) – ศึกอมตะที่ยังไม่จบสิ้น

รีวิวภาพยนตร์ The Old Guard 2 (2025) – ศึกอมตะที่ยังไม่จบสิ้น

 

The Old Guard 2 ภาพยนตร์แอ็กชันแฟนตาซีฟอร์มยักษ์จาก Netflix ได้กลับมาสานต่อเรื่องราวของเหล่านักรบอมตะที่ปกป้องโลก โดยมี วิคตอเรีย มาโฮนีย์ (Victoria Mahoney) เข้ามารับหน้าที่กำกับแทน จีน่า พรินซ์-ไบธ์วูด จากภาคแรก ภาพยนตร์ออกฉายเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2025 โดยยังคงได้นักแสดงชุดเดิมอย่าง ชาร์ลีซ เทรัน (Charlize Theron), คิกิ เลย์น (KiKi Layne), มาทิอัส โชนาร์ท (Matthias Schoenaerts), มาร์วัน เคนซารี (Marwan Kenzari), ลูก้า มาริเนลลี (Luca Marinelli), และ ชูวิเท็ล เอจีโอฟอร์ (Chiwetel Ejiofor) กลับมาร่วมทีม และเสริมทัพด้วยนักแสดงใหม่อย่าง อูมา เธอร์แมน (Uma Thurman) และ เฮนรี โกลดิง (Henry Golding)

ภาคต่อนี้พยายามขยายจักรวาลของเหล่าอมตะให้กว้างขึ้น พร้อมกับเผชิญหน้ากับภัยคุกคามใหม่ๆ ที่ท้าทายทั้งความสามารถและชะตากรรมของพวกเขา

 

เรื่องย่อ:

 

เรื่องราวใน The Old Guard 2 ดำเนินต่อจากจุดจบของภาคแรก โดย แอนดี้ (Andy) หรือ แอนโดรมาเคแห่งไซเทีย (Andromache of Scythia) (รับบทโดย ชาร์ลีซ เทรัน) ที่ตอนนี้กลายเป็นมนุษย์ธรรมดาอีกครั้ง ต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายใหม่ๆ ในขณะที่เธอกำลังปรับตัวเข้ากับการเป็นผู้ที่ไม่เป็นอมตะ

ทีมอมตะยังคงทำภารกิจปกป้องมนุษยชาติร่วมกับ คอปลีย์ (Copley – Chiwetel Ejiofor) ซึ่งได้เข้ามาช่วยประสานงานให้พวกเขาทำงานได้อย่างลับๆ แต่แล้วสถานการณ์ก็พลิกผันเมื่อ ควิญ (Quynh – เวโรนิก้า โง) อดีตเพื่อนร่วมทีมของแอนดี้ที่เคยถูกจองจำอยู่ใต้ทะเลมานานหลายศตวรรษ ได้กลับมาปรากฏตัวอีกครั้งด้วยความแค้นและมุ่งมั่นที่จะแก้แค้นมนุษยชาติ

นอกจากนี้ ยังมีการแนะนำตัวละครอมตะคนใหม่อย่าง ดิสคอร์ด (Discord – Uma Thurman) ซึ่งถูกเปิดเผยว่าเป็นอมตะคนแรก และ ทัวร์ (Tuah – Henry Golding) อมตะผู้เป็นนักวิชาการที่อาจกุมความลับเกี่ยวกับการเป็นอมตะ รวมถึงความสามารถของ ไนล์ (Nile – KiKi Layne) ในฐานะ “อมตะคนสุดท้าย” ซึ่งเธอสามารถทำให้ใครเป็นอมตะหรือมนุษย์ธรรมดาก็ได้เพียงแค่ทำให้เกิดบาดแผลขึ้นกับคนนั้น

เมื่อโลกของเหล่านักรบอมตะเริ่มสั่นคลอนจากการกลับมาของควิญและดิสคอร์ด ซึ่งมีแผนการที่อันตราย ทั้งทีมต้องรวมตัวกันเพื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่ทรงพลังกว่าเดิม รวมถึงการพยายามช่วยชีวิต บุ๊คเกอร์ (Booker – Matthias Schoenaerts) ที่ถูกเนรเทศออกไปหลังจากการทรยศในภาคแรก และการค้นพบความลับที่น่าตกใจเกี่ยวกับการเป็นอมตะของพวกเขาเอง

 

สิ่งที่น่าสนใจใน The Old Guard 2:

 

  • ทีมนักแสดงที่แข็งแกร่ง: การกลับมาของเหล่านักแสดงชุดเดิมที่สร้างเคมีที่ลงตัวในภาคแรก ถือเป็นจุดแข็งสำคัญ โดยเฉพาะ ชาร์ลีซ เทรัน ที่ยังคงแสดงบทแอนดี้ได้อย่างทรงพลังและน่าเชื่อถือ แม้จะอยู่ในสถานะที่เปราะบางลง

  • การขยายจักรวาลและตำนาน: ภาคนี้พยายามที่จะเจาะลึกเข้าไปในประวัติศาสตร์และกลไกของการเป็นอมตะมากขึ้น ด้วยการแนะนำตัวละครอมตะคนใหม่และเปิดเผยปมปริศนาที่เชื่อมโยงกับอดีต

  • ฉากแอ็กชันที่ยังคงดุเดือด: แม้ว่าบางฉากอาจถูกวิพากษ์วิจารณ์ แต่โดยรวมแล้วฉากต่อสู้ยังคงทำออกมาได้ดีและน่าตื่นเต้น โดยเฉพาะการต่อสู้แบบประชิดตัวและการใช้ทักษะเฉพาะของแต่ละตัวละคร

  • ประเด็นทางอารมณ์และศีลธรรม: ภาพยนตร์ยังคงสำรวจประเด็นเกี่ยวกับภาระของการเป็นอมตะ การสูญเสีย และความหมายของการมีชีวิตอยู่ รวมถึงการตัดสินใจที่ยากลำบากที่เหล่านักรบอมตะต้องเผชิญหน้า

  • การปรากฏตัวของนักแสดงใหม่: การเสริมทัพด้วย อูมา เธอร์แมน และ เฮนรี โกลดิง ช่วยเพิ่มความสดใหม่และมิติให้กับเรื่องราว โดยเฉพาะบทบาทของดิสคอร์ดที่น่าจับตา

 

ข้อสังเกต:

 

  • พล็อตเรื่องที่ซับซ้อนแต่ไม่กระชับ: แม้จะพยายามขยายเรื่องราว แต่พล็อตบางส่วนกลับดูวกวนและไม่กระชับ การใส่ปมและตัวละครใหม่ๆ เข้ามามากเกินไปในบางครั้งทำให้เรื่องราวดูยุ่งเหยิงและขาดโฟกัส

  • การพัฒนาตัวละครที่ยังไม่เต็มที่: ด้วยจำนวนตัวละครที่เพิ่มขึ้น ทำให้การพัฒนาตัวละครบางตัวยังไม่ลึกซึ้งพอ โดยเฉพาะตัวร้ายอย่างดิสคอร์ดที่ยังดูแบนและขาดแรงจูงใจที่ชัดเจน

  • ฉากจบแบบ Cliffhanger ที่ไม่สมบูรณ์: ภาพยนตร์จบลงด้วยการทิ้งปมไว้มากมายเพื่อปูทางไปสู่ภาคต่อไป ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนได้ดูเพียง “ครึ่งเรื่อง” ซึ่งอาจสร้างความหงุดหงิดให้กับผู้ที่ต้องการบทสรุปที่ชัดเจน

  • การกำกับที่อาจไม่โดดเด่นเท่าภาคแรก: แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงผู้กำกับ แต่การกำกับโดยรวมอาจยังไม่สามารถสร้างผลกระทบหรือความประทับใจได้เท่ากับภาคแรก

 

สรุป:

 

The Old Guard 2 เป็นภาพยนตร์ภาคต่อที่ยังคงมีศักยภาพจากแนวคิดที่น่าสนใจและทีมนักแสดงที่แข็งแกร่ง มันนำเสนอฉากแอ็กชันที่ดุเดือดและพยายามขยายจักรวาลของเหล่านักรบอมตะให้กว้างขึ้น อย่างไรก็ตาม ด้วยพล็อตที่ซับซ้อนแต่ไม่กระชับ การพัฒนาตัวละครที่ยังไม่เต็มที่ และฉากจบที่ทิ้งปมไว้มากมาย ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังไม่สามารถทำได้ดีเท่าที่ควร และทิ้งความรู้สึกว่าเรื่องราวของเหล่านักรบอมตะยังคง “ค้างคา” อยู่

คะแนน: 6/10

คุณมีความคิดเห็นอย่างไรกับการที่หนังภาคต่อจบลงด้วยการทิ้งปมไว้แบบนี้บ้างครับ?