ดูหนัง Godzilla Minus One (2023) – เมื่อก็อตซิลล่าคือภัยพิบัติที่แท้จริงของญี่ปุ่นหลังสงคราม

รีวิวภาพยนตร์ Godzilla Minus One (2023) – เมื่อก็อตซิลล่าคือภัยพิบัติที่แท้จริงของญี่ปุ่นหลังสงคราม

Godzilla Minus One (2023) คือภาพยนตร์ที่สร้างปรากฏการณ์และได้รับเสียงชื่นชมอย่างถล่มทลายทั่วโลก ไม่ใช่แค่ในฐานะภาพยนตร์สัตว์ประหลาด (Kaiju) แต่ในฐานะภาพยนตร์ดราม่าที่ทรงพลังและสะเทือนอารมณ์อย่างลึกซึ้ง กำกับและเขียนบทโดย ทาคาชิ ยามาซากิ (Takashi Yamazaki) ภาพยนตร์เรื่องนี้พาแฟรนไชส์ก็อตซิลล่ากลับคืนสู่รากเหง้าของความน่าสะพรึงกลัวและบทสะท้อนสังคมได้อย่างยอดเยี่ยม

เรื่องย่อ:

เรื่องราวของ Godzilla Minus One เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในช่วงเวลาที่ประเทศกำลังบอบช้ำอย่างหนักจากการพ่ายแพ้และถูกทำลายล้างจากระเบิดปรมาณู ท้องฟ้ายังไม่ทันหายเป็นปกติจากเถ้าถ่านของสงคราม ก็ต้องเผชิญกับภัยพิบัติครั้งใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่า นั่นคือการปรากฏตัวของ ก็อตซิลล่า

ตัวเอกของเรื่องคือ โคอิจิ ชิกิชิมะ (Kōichi Shikishima – Ryunosuke Kamiki) อดีตนักบินคามิกาเซะที่รอดชีวิตจากสงครามด้วยความรู้สึกผิด (survivor’s guilt) และความอับอายที่ไม่ได้ทำหน้าที่พลีชีพตามคำสั่ง เขาต้องเผชิญหน้ากับบาดแผลทางใจที่ลึกซึ้ง และพยายามเริ่มต้นชีวิตใหม่ในเมืองที่พังทลาย พร้อมกับ โนริโกะ โออิชิ (Noriko Ōishi – Minami Hamabe) หญิงสาวที่เขารับมาดูแล พร้อมกับเด็กกำพร้าตัวน้อยนามว่า อาคิโกะ ที่เธอกู้ภัยมา

ในขณะที่ญี่ปุ่นกำลังพยายามฟื้นฟูประเทศ ก็อตซิลล่าปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในร่างที่ใหญ่โตและน่ากลัวกว่าเดิม หลังจากได้รับพลังจากการทดลองนิวเคลียร์ที่บิกินีอะทอลล์ มันมุ่งหน้ามายังแผ่นดินญี่ปุ่นและสร้างความเสียหายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้ประเทศที่อยู่ในภาวะ “ติดลบ” อยู่แล้ว ยิ่งถูกกดให้จมดิ่งลงไปอีก

เมื่อรัฐบาลญี่ปุ่นไม่สามารถให้ความช่วยเหลือได้อย่างเต็มที่ ประชาชนที่เคยเป็นเพียงเหยื่อของสงคราม ต้องลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อปกป้องบ้านเกิดและชีวิตของตัวเอง นำโดยกลุ่มทหารผ่านศึกและพลเรือนผู้กล้าหาญ โคอิจิ ชิกิชิมะ ต้องเผชิญหน้ากับความกลัวที่ฝังลึกในใจ และหาทางไถ่ถอนความผิดในอดีตด้วยการต่อสู้กับก็อตซิลล่า เพื่อปกป้องครอบครัวที่เขาสร้างขึ้นมาใหม่และประเทศชาติที่เหลืออยู่

สิ่งที่น่าสนใจใน Godzilla Minus One:

• ก็อตซิลล่าที่น่ากลัวและทรงพลังอย่างแท้จริง: ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้ก็อตซิลล่ากลับมาเป็น “สัตว์ประหลาด” ที่น่าเกรงขามและเป็นภัยพิบัติที่ไม่อาจหยุดยั้งได้อีกครั้ง ไม่ใช่ฮีโร่หรือสิ่งที่เชียร์ได้ การปรากฏตัวของมันทุกครั้งสร้างความหวาดกลัว ความสิ้นหวัง และการทำลายล้างที่น่าตกใจอย่างถึงที่สุด

• งานภาพและวิชวลเอฟเฟกต์ที่เหนือความคาดหมาย: แม้จะมีงบประมาณสร้างเพียง 15 ล้านดอลลาร์ (ซึ่งถือว่าน้อยมากสำหรับหนังบล็อกบัสเตอร์) แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้กลับนำเสนอ CGI และวิชวลเอฟเฟกต์ของก็อตซิลล่าและฉากทำลายล้างได้อย่างตระการตาและน่าเชื่อถือในระดับฮอลลีวูดหลายเท่าตัว

• เรื่องราวของมนุษย์ที่เข้มข้นและเข้าถึงใจ: นี่คือจุดแข็งที่ทำให้ Godzilla Minus One แตกต่างจากหนังก็อตซิลล่าเรื่องอื่นๆ และถูกยกย่องเป็นอย่างสูง ภาพยนตร์ให้ความสำคัญกับตัวละครมนุษย์ โดยเฉพาะประเด็นของ “survivor’s guilt” (ความรู้สึกผิดของผู้รอดชีวิต) และบาดแผลจากสงคราม ตัวละครหลักมีมิติ มีการพัฒนา และผู้ชมสามารถเอาใจช่วยพวกเขาได้อย่างแท้จริง ทำให้ฉากการต่อสู้กับก็อตซิลล่ามีความหมายและมีผลกระทบทางอารมณ์สูง

• บทสะท้อนสังคมและประวัติศาสตร์: ภาพยนตร์สะท้อนถึงความบอบช้ำของญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งความเสียหายทางกายภาพและจิตใจของผู้คน การที่ก็อตซิลล่าปรากฏขึ้นในเวลานั้น เป็นสัญลักษณ์ของหายนะที่ถาโถมเข้าสู่ประเทศที่ตกอยู่ในภาวะ “ติดลบ” อยู่แล้ว

• เพลงประกอบที่เร้าใจและบรรยากาศที่คลาสสิก: การใช้เพลงประกอบที่ทรงพลังและชวนให้นึกถึงผลงานคลาสสิกของ Akira Ifukube รวมถึงการสร้างบรรยากาศที่ผสมผสานความหวาดกลัวแบบดั้งเดิมเข้ากับความทันสมัย ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีเสน่ห์เฉพาะตัว

ข้อสังเกต:

• ความรุนแรงและฉากที่น่ากลัว: ด้วยการนำเสนอความเสียหายและการสังหารของก็อตซิลล่าอย่างตรงไปตรงมา ภาพยนตร์จึงมีฉากที่รุนแรงและน่ากลัว ซึ่งอาจไม่เหมาะสำหรับผู้ชมที่อ่อนไหว

• การเดินเรื่องที่อาจมีจังหวะเนิบนาบในช่วงดราม่า: แม้ว่าเรื่องราวของมนุษย์จะแข็งแกร่ง แต่สำหรับผู้ชมที่คาดหวังฉากสัตว์ประหลาดตั้งแต่ต้นจนจบ อาจรู้สึกว่าบางช่วงที่เน้นดราม่าของตัวละครนั้นดำเนินไปอย่างช้าๆ

สรุป:

Godzilla Minus One (2023) คือภาพยนตร์ที่เกินความคาดหมายและสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับแฟรนไชส์ก็อตซิลล่า มันไม่ใช่แค่หนังสัตว์ประหลาดที่ระเบิดตูมตาม แต่เป็นภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องราวของมนุษย์ได้อย่างลึกซึ้งและกินใจ การผสมผสานระหว่างงานภาพที่น่าทึ่ง ตัวก็อตซิลล่าที่น่าเกรงขาม และแก่นเรื่องของความหวัง การไถ่ถอน และการยืนหยัดของมนุษย์ ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงที่ควรค่าแก่การรับชมอย่างยิ่ง และสมควรได้รับการกล่าวขานในฐานะหนึ่งในภาพยนตร์ยอดเยี่ยมของปี

คะแนน: 9/10